เทคโนโลยีสำนักงาน
-- เทคโนโลยีสำนักงาน (Office Technology) คือ เทคโนโลยี 2 ด้านหลัก ๆ ที่ประกอบด้วยเทคโนโลยีระบบคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีโทรคมนาคม ที่ผนวกเข้าด้วยกัน เพื่อใช้ในการบริหารงานสำนักงาน ช่วยให้เกิดความรวดเร็ว ความสะดวกสบาย ความคล่องตัว
เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับสำนักงาน
-----1. เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ ได้แก่ เทคโนโลยีฮาร์ดแวร์ เทคโนโลยีซอฟต์แวร์ และเทคโนโลยีฐานข้อมูล
-----2. เทคโนโลยีสำนักงาน หมายถึง อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่สามารถช่วยให้งานสำนักงานสะดวกขึ้น เช่น เครื่องบันทึกเงินสด เครื่องถ่ายเอกสาร เครื่องทำสำเนาระบบดิจิตอล เครื่องโทรสาร ฯลฯ
-----3. เทคโนโลยีการติดต่อสื่อสาร เช่น โทรศัพท์ โทรสาร การสื่อสารผ่านดาวเทียม ฯลฯ
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีในสำนักงาน
เทคโนโลยีที่นำเข้ามาใช้ในสำนักงานนั้น สามารถแบ่งได้เป็น 4 ระดับ คือ
-----1. ระดับปฏิบัติการ เข้ามาช่วยในกิจกรรมบางอย่างที่ต้องทำซ้ำ ๆ กันโดยไม่ต้องมีการตัดสินใจ
-----2. ระดับสนับสนุนการทำงาน เข้ามาช่วยในการรวบรวมข้อมูล ข่าวสารที่ใช้ในกิจการ การจัดการระบบจัดเก็บเอกสาร
-----3. ระดับบริหาร ช่วยในการควบคุม ตรวจสอบการปฏิบัติงานต่าง ๆ ช่วยวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อสนับสนุนการตัดสินใจในการทำงาน
-----4. ระดับกลยุทธ์ ช่วยให้ผู้บริหารสามารถกำหนดกลยุทธ์เพื่อต่อสู่แข่งขันกับคู่แข่งในระยะยาวโดยคำนึงถึงสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงทั้งภายในและภายนอกของธุรกิจ
หลักสำคัญในการจัดการเทคโนโลยี
---1. มีนโยบายในการจัดการเทคโนโลยี
---2. มีผู้รับผิดชอบในการจัดการเทคโนโลยี
---3. มีการวางแผนการปฏิบัติงานไว้ล่วงหน้า
---4. มีการจัดสสรรทรัพยากรสำหรับการปฏิบัติงาน
---5. มีการจัดฝึกอบรมผู้ปฏิบัติงาน
---6. มีการกำหนดผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
---7. มีการดำเนินงานตามกิจกรรมที่กำหนดไว้
---8. มีการวัดผลการดำเนินงาน
---9. มีการจัดเก็บบันทึกรายละเอียดการดำเนินงานอย่างครบถ้วน
---10. มีการรายงานผลต่อผู้บริหารระดับสูง
ความล้มเหลวหรือความผิดพลาดที่เกิดจากการนำเทคโนโลยีมาใช้
---1. การขาดการวางแผนที่ดีพอ
---2. การนำเทคโนโลยีที่ไม่เหมาะสมมาใช้งาน
---3. การขาดการจัดการหรือสนับสนุนจากผู้บริหารระดับสูง
ประเภทของสำนักงาน
---1. สำนักงานของภาครัฐ ได้แก่ กระทรวง กรม กอง หรือสถานที่ของทางราชการทั้งหมด
---2. สำนักงานของภาคเอกชน ได้แก่ บริษัทจำกัด ห้างหุ้นส่วนจำกัด ร้านค้า ห้างร้านหรือสถานประกอบการอื่น ๆ
ลักษณะของงานสำนักงานที่สำคัญ มี 7 ด้าน ได้แก่
--1. ด้านบริการผู้บริหาร
--2. ด้านข้อมูลและเอกสาร
--3. ด้านอาคารสถานที่ พัสดุและอุปกรณ์
--4. ด้านการจัดการบุคลากร
--5. ด้านการเงินและการบัญชี
--6. ด้านการจัดการประชุม
--7. งานประชาสัมพันธ์
สำนักงานอัตโนมัติ หมายถึง กระบวนการในการนำเอาระบบการสื่อสารข้อมูลที่ทันสมัยแบบเครือข่าย เข้ามาช่วยในงานสำนักงานเพื่อที่จะให้การปฏิบัติงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพด้วยการบันทึกข้อมูลข่าวสารและสื่อไปยังผู้ต้องการใช้ได้ทันที
ประโยชน์ของสำนักงานอัตโนมัติ
--1. ประหยัดงบประมาณค่าใช้จ่าย
--2. เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
--3. ผู้บริหารสามารถตัดสินใจได้ถูกต้องและรวดเร็ว
--4. ผู้ปฏิบัติงานมีความภาคภูมิใจในสำนักงานและหน่วยงานมากขึ้น
--5. หน่วยงานและสำนักงานมีภาพลักษณ์ที่ดี
องค์ประกอบของสำนักงานอัตโนมัติ ประกอบด้วย
--1. บุคลากร
--2. กระบวนการปฏิบัติงาน
--3.เอกสารข้อมูลสารสนเทศ
--4. เทคโนโลยี
--5. การบริหารจัดการ
เทคโนโลยีเพื่อสำนักงานอัตโนมัติ ประกอบด้วย
--1. เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์
--2. เทคโนโลยีโทรคมนาคม
--3. เทคโนโลยีภาพกราฟิก
--4. ระบบอินเทอร์เน็ต
ระบบที่ใช้ในสำนักงานอัตโนมัติ
--1. การเก็บค้นด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์
--2. การส่งข้อมูลข่าวสารด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์
--3. การวางรูปแบบของเอกสารด้วยระบบประมวลผลคำ
--4. การใช้ซอฟต์แวร์ช่วยในการบริหาร
--5. การใช้ระบบเสียงหรือ Voice Processing
ระบบสารสนเทศสำนักงาน แบ่งเป็น 4 ประเภท
--1. ระบบการจัดการเอกสาร
--2. ระบบการจัดการข่าวสาร
--3. ระบบการประชุมทางไกล
--4. ระบบสนับสนุนสำนักงาน
วันพฤหัสบดีที่ ๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๓
วันอังคารที่ ๒๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๓
วิชาการบัญชีร่วมค้าและฝากขาย
หน่วยที่ 1 ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการร่วมค้า
การร่วมค้า หมายถึง การที่บุคคลหรือกิจการตั้งแต่สองคนหรือสองกิจการขึ้นไป ทำการประกอบกิจการค้าร่วมกัน โดยจะต้องมีข้อตกลงในสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรด้วยว่าผู้ร่วมค้าทุกคนจะต้องมีสิทธิ์หรือส่วนร่วมในการควบคุมการร่วมค้าด้วยกันในการกำหนดนโยบายทางการเงินและการดำเนินงานของกิจการที่ร่วมค้าร่วมกันเพื่อให้ได้รับประโยชน์ของกิจกรรมต่างๆ ของธุรกิจนั้น การร่วมค้าอาจจะเกี่ยวกับการค้าขายสินค้าหรือการประกอบกิจการโครงการใดโครงการหนึ่งโดยเฉพาะ เมื่อกิจการร่วมค้าสำเร็จลุล่วงแล้วการร่วมค้าถือว่ายุติลง
1. การร่วมค้าประกอบด้วยบุคคลตั้งแต่สองคนหรือกิจการตั้งแต่สองกิจการขึ้นไปร่วมกันลงทุนเพื่อดำเนินการค้า
2. การดำเนินการค้าเฉพาะกาลใดกาลหนึ่ง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแบ่งกำไรจากการค้านั้น3. เป็นการลงทุนที่ไม่ถาวรเหมือนการค้าปกติ มีขอบเขตจำกัดโดยจะสิ้นสุดเมื่อการดำเนินการค้านั้นเสร็จสิ้นลง
4. มีการนำกฎหมายว่าด้วยห้างหุ้นส่วนมาบังคับใช้ เช่น การลงทุน และการแบ่งสรรกำไร เป็นต้น
วิธีการบันทึกบัญชีเกี่ยวกับการร่วมค้าของผู้ร่วมค้านั้นจะขึ้นอยู่กับรูปแบบของการร่วมค้า ซึ่งรูปแบบของการร่วมค้า ตามมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 46 สามารถแบ่งได้ 3 รูปแบบ ดังนี้
รูปแบบที่ 1 การดำเนินงานที่ควบคุมร่วมค้า (Jointly Controlled operations)
รูปแบบที่ 2 สินทรัพย์ที่ควบคุมร่วมกัน (Jointly Controlled Assets)รูปแบบที่ 3 กิจการที่ควบคุมร่วมกัน หรือกิจการร่วมค้า (Jointly Controlled Entities )
รูปแบบที่ 1 การดำเนินงานที่ควบคุมร่วมค้า (Jointly Controlled operations)การดำเนินงานของกิจการร่วมค้ารูปแบบนี้จะไม่มีการจัดตั้งกิจการร่วมค้าเป็นหน่วยงานตามกฎหมายแยกออกจากเดิมแต่จะแฝงการร่วมค้าอยู่ในกิจการเดิม โดยผู้ร่วมค้าแต่ละรายจะใช้ความรู้ความชำนาญและสินทรัพย์ของตน เช่น อุปกรณ์ โรงงาน
รูปแบบที่ 2 สินทรัพย์ที่ควบคุมร่วมกัน (Jointly Controlled Assets)
การดำเนินงานของกิจการร่วมค้ารูปแบบนี้จะเหมือนกับรูปแบบแรก คือ ไม่มีการจัดตั้งกิจการร่วมค้าเป็นหน่วยงานตามกฎหมายแยกออกจากิจการ โดยจะแฝงการร่วมค้าอยู่ในกิจการเดิมผู้ร่วมค้าแต่ละรายจะนำสินทรัพย์ของตนมาให้ผู้ร่วมค้ารายอื่นๆ ใช้ร่วมกัน หรืออาจเป็นเจ้าของร่วมกันในสินทรัพย์ที่ซื้อมาเพื่อใช้ตามวัตถุประสงค์ของกิจการร่วมค้า
การบันทึกบัญชีและการแสดงรายการของการร่วมค้าจะแสดงเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินงานตามปกติ
รูปแบบที่ 3 กิจการที่ควบคุมร่วมกัน หรือกิจการร่วมค้า (Jointly Controlled Entities )การดำเนินงานขอองกิจการร่วมค้ารูปแบบนี้จะมีการจัดตั้งกิจการร่วมค้าเป็นหน่วยงานตามกฎหมาย จึงสามารถแยกออกจากกิจการเดิม โดยกิจการที่ตั้งขึ้นมาใหม่จะมีสัญญาซึ่งระบุให้ผู้ร่วมค้าทุกรายมีอำนาจควบคุมร่วมกันในการดำเนินงานของกิจการร่วมค้า
---การบันทึกบัญชีและงบการเงิน กิจการร่วมค้ารูปแบบนี้เป็นหน่วยงานแยกออกมาตามกฎหมาย จึงสามารถที่จะมีสินทรัพย์ ก่อหนี้สิน และมีรายได้หรือค่าใช้จ่ายเป็นของตนเองได้ ดังนั้นจึงต้องจัดทำบัญชีและงบการเงินของกิจการเองตามมาตรฐานการบัญชีเช่นเดียวกับกิจการทั่วไป
---การจัดแบ่งรูปแบบของกิจการร่วมค้าตามมาตรฐานการบัญชีฉบับที่ 46 สามารถจัดแบ่งรูปแบบได้ 3 รูปแบบ จะพบการดำเนินงาน 2 รูปแบบแรก คือ การดำเนินงานที่ควบคุมร่วมกัน (Jointly Controlled Operations) และสินทรัพย์ที่ควบคุมร่วมกัน (Jointly Controlled Assets ) จะมีรูปแบบที่เหมือนกัน คือ ไม่ได้มีการจัดตั้งเป็นหน่วยงานตามกฎหมายโดยจะแฝงการร่วมค้าอยู่ในกิจการเดิม ส่วนการดำเนินงานรูปแบบที่สาม เป็นแบบกิจการที่ควบคุมร่วมกัน หรือกิจการร่วมกัน (Jointly Controlled Entities ) ซึ่งจะมีการจัดตั้งการร่วมค้าเป็นหน่วยงานตามกฎหมายแยกการร่วมค้าออกจากิจการเดิมของผู้ร่วมค้าแต่ละคน ดังนั้น
วิธีการบัญชีสำหรับกิจการร่วมค้าสามารถแบ่งได้ 2 วิธี ดังนี้
วิธีที่ 1 วิธีการบันทึกบัญชีการร่วมค้าโดยไม่เปิดสมุดบัญชีกิจการร่วมค้าแยกต่างหาก
วิธีที่ 2 วิธีการบันทึกบัญชีการร่วมค้าโดยเปิดสมุดบัญชีกิจการร่วมค้าแยกต่างหาก
การฝากขาย
การฝากขาย หมายถึง การที่บุคคลฝ่ายหนึ่งซึ่งเป็นเจ้าของสินค้าเรียกว่า “ผู้ฝากขาย (Consignor)”ส่งสินค้าไปยังบุคคลอีกฝ่ายหนึ่ง เรียกว่า“ผู้รับฝากขาย (Consignee)” เพื่อช่วยทำหน้าที่ขายสินค้าแทน
ขั้นตอนการฝากขาย
ขั้นตอนการฝากขาย
---1. ผู้ฝากขายส่งสินค้าที่ต้องการฝากขายไปยังผู้รับฝากขาย
---2. เมื่อผู้รับฝากขายขายสินค้าได้จะส่งมอบสินค้าไปยังผู้ซื้อ
---3. ผู้ชำระเงินค่าสินค้าไปยังผู้รับฝากขาย
---4. ทุกสิ้นเดือนผู้รับฝากขายจัดทำรายงานการขาย ซึ่งสรุปยอดขายสินค้า รับฝากขายหักค่าค่านายหน้าและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการรับฝากขาย (ดังแสดงดังภาพต่อไปนี้)
ประโยชน์ของการฝากขาย
ด้านผู้ฝากขาย
---1. เพื่อช่วยลดความเสี่ยงจากการให้สินเชื่อ
---2. เพื่อช่วยขยายตลาดของสินค้า
---3. เพื่อช่วยในการเลือกผู้รับฝากขาย/ตัวแทนได้อย่างเหมาะสม
---4. เพื่อช่วยควบคุมราคาขายปลีกให้แก่ผู้บริโภค
ด้านผู้รับฝากขาย
---1. เพื่อลดความเสี่ยงจากการผันผวนของราคา
---2. เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากสินค้าล้าสมัย
---3. ทำให้ไม่ต้องใช้เงินทุนจำนวนมาก
---4. ได้รับผลตอบแทนจากการรับฝากขาย
วันจันทร์ที่ ๒๖ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๓
เก็บผลงานมาฝาก
ประชุมการใช้ระบบควบคุมผลงาน
เชิงประจักษ์ ณ โรงแรมคุ้มสุพรรณ
พานักศึกษาใหม่ดูงาน ณ ตลาดธนบุรี
งานเกษียณอายุราชการ ณ สวนผึ้ง
พานักศึกษาร่วมงานอาหารกลางวัน ณ กรุงเทพ
อบรม "ธุรกิจและการเป็นผู้ประกอบการ"
ณ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
19 เมษายน 2553
ประชุมเพื่อยกระดับมาตรฐานด้านบัญชี
ณ วท.ปทุมธานี วันที่ 22 เมษายน 2553
วันจันทร์ที่ ๒๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๓
มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 7
แถลงการณ์มาตรฐานการบัญชีฉบับที่ 7
เรื่อง การบัญชีสำหรับการให้เช่าซื้อ – ทางด้านผู้ให้เช่าซื้อนี้ให้เริ่มถือปฏิบัติสำหรับงบการเงินที่มีงวดการบัญชีเริ่มในหรือหลังวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2530 เป็นต้นไป Chart TAS 7
-----1.ในกรณีที่มีกำไรเกิดจากการขายให้รับรู้เป็นรายได้ทั้งจำนวนในรอบระยะเวลาบัญชีที่มีการให้เช่าซื้อหรืออาจรับรู้กำไรที่กล่าวเป็นรายได้ในแต่ละรอบระยะเวลาบัญชีตามงวดที่ถึงกำหนดชำระก็ได้
-----2.การรับรู้ดอกผลเช่าซื้อเป็นรายได้ควรใช้วิธีที่ได้ผลลัพธ์ใกล้เคียงกับวิธีการคิดดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืม กล่าวคือ ในกรณีที่เป็นการให้เช่าซื้อระยะยาวควรคำนวณโดยใช้ตารางเงินรายปี ส่วนกรณีที่เป็นการให้เช่าชื้อระยะสั้นอาจคำนวณตามวิธีผลรวมจำนวนตัวเลขก็ได้ ในกรณีที่ไม่ได้รับชำระเงินค่างวดตามกำหนดและไม่มีเหตุผลที่สนับสนุนได้ว่าเรียกเก็บเงินได้ก็สมควรที่จะเลื่อนการรับรู้รายได้นั้นออกไป ทั้งนี้ ให้เปิดเผยนโยบายการบัญชีเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย
-----3.ในกรณีที่ผู้เช่าซื้อผิดสัญญาและผู้ให้เช่าซื้อเรียกทรัพย์สินนั้นค่น ควรบันทึกบัญชีโดยโอนยอดคงเหลือสุทธิของบัญชีลูกหนี้เช่าซื้อโดยหักบัญชีดอกผลเช่าซื้อรอการตัดบัญชีสำหรับผู้เช่าซื้อรายนั้นไปแสดงในบัญชีทรัพย์สินรอการขาย ทั้งนี้ เมื่อวันสิ้นรอบระยะเวลาการบัญชีให้แสดงยอดของทรัพย์สินรองการขายไว้ในราคาตลาดหรือราคาตามบัญชีแล้วแต่อย่างไรจะต่ำกว่า
-----4.สำหรับการแสดงยอดลูกหนี้เช่าซื้อในงบดุล ให้แสดงยอดตามจำนวนเงินเช่าซื้อคงค้างเป็นยอดสุทธิโดยหักยอดคงเหลือของดอกผลเช่าซื้อรอการตัดบัญชี และแสดงรายละเอียดของรายการดังกล่าวในหมายเหตุประกอบงบการเงิน
-----5.แถลงการณ์มาตรฐานการบัญชีนี้ให้ถือเป็นหลักในการบัญชีสำหรับการขายโดยวิธีผ่อนชำระทางด้าน ผู้ขายด้วยโดยอนุโลม
เรื่อง การบัญชีสำหรับการให้เช่าซื้อ – ทางด้านผู้ให้เช่าซื้อนี้ให้เริ่มถือปฏิบัติสำหรับงบการเงินที่มีงวดการบัญชีเริ่มในหรือหลังวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2530 เป็นต้นไป Chart TAS 7
-----1.ในกรณีที่มีกำไรเกิดจากการขายให้รับรู้เป็นรายได้ทั้งจำนวนในรอบระยะเวลาบัญชีที่มีการให้เช่าซื้อหรืออาจรับรู้กำไรที่กล่าวเป็นรายได้ในแต่ละรอบระยะเวลาบัญชีตามงวดที่ถึงกำหนดชำระก็ได้
-----2.การรับรู้ดอกผลเช่าซื้อเป็นรายได้ควรใช้วิธีที่ได้ผลลัพธ์ใกล้เคียงกับวิธีการคิดดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืม กล่าวคือ ในกรณีที่เป็นการให้เช่าซื้อระยะยาวควรคำนวณโดยใช้ตารางเงินรายปี ส่วนกรณีที่เป็นการให้เช่าชื้อระยะสั้นอาจคำนวณตามวิธีผลรวมจำนวนตัวเลขก็ได้ ในกรณีที่ไม่ได้รับชำระเงินค่างวดตามกำหนดและไม่มีเหตุผลที่สนับสนุนได้ว่าเรียกเก็บเงินได้ก็สมควรที่จะเลื่อนการรับรู้รายได้นั้นออกไป ทั้งนี้ ให้เปิดเผยนโยบายการบัญชีเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย
-----3.ในกรณีที่ผู้เช่าซื้อผิดสัญญาและผู้ให้เช่าซื้อเรียกทรัพย์สินนั้นค่น ควรบันทึกบัญชีโดยโอนยอดคงเหลือสุทธิของบัญชีลูกหนี้เช่าซื้อโดยหักบัญชีดอกผลเช่าซื้อรอการตัดบัญชีสำหรับผู้เช่าซื้อรายนั้นไปแสดงในบัญชีทรัพย์สินรอการขาย ทั้งนี้ เมื่อวันสิ้นรอบระยะเวลาการบัญชีให้แสดงยอดของทรัพย์สินรองการขายไว้ในราคาตลาดหรือราคาตามบัญชีแล้วแต่อย่างไรจะต่ำกว่า
-----4.สำหรับการแสดงยอดลูกหนี้เช่าซื้อในงบดุล ให้แสดงยอดตามจำนวนเงินเช่าซื้อคงค้างเป็นยอดสุทธิโดยหักยอดคงเหลือของดอกผลเช่าซื้อรอการตัดบัญชี และแสดงรายละเอียดของรายการดังกล่าวในหมายเหตุประกอบงบการเงิน
-----5.แถลงการณ์มาตรฐานการบัญชีนี้ให้ถือเป็นหลักในการบัญชีสำหรับการขายโดยวิธีผ่อนชำระทางด้าน ผู้ขายด้วยโดยอนุโลม
ความแตกต่างระหว่าง การขายผ่อนชำระ และ การเช่าซื้อ
การขายผ่อนชำระ หมายถึง การที่ผู้ขายส่งมอบสินค้าหรือบริการให้แก่ผู้ซื้อ โดยยินยอมให้ผู้ซื้อจ่ายชำระเงินค่าสินค้าหรือบริการบางส่วน ซึ่งเรียกว่า เงินวางเริ่มแรก หรือ เงินดาวน์ ส่วนที่เหลือจ่ายชำระเป็นงวด ๆ ภายในระยะเวลาที่กำหนด
การเช่าซื้อ หมายถึง การที่เจ้าของเอาทรัพย์สินออกให้เช่าและให้คำมั่นว่าจะขายทรัพย์สินนั้น หรือว่าจะให้ทรัพย์สินนั้นตกเป็นสิทธิแก่ผู้เช่า โดยมีเงื่อนไขที่ผู้เช่าได้ใช้เงินเป็นจำนวนเท่านั้นเท่านี้คราว และที่สำคัญ การเช่าซื้อต้องทำสัญญาและสัญญาเช่าซื้อถ้าไม่ทำเป็นหนังสือ ถือว่าเป็นโมฆะ
ในทางกฏหมาย แล้ว การขายผ่อนชำระใช้ประมวลกฏหมายแพ่งและพาณิชย์ ว่าด้วย เอกเทศสัญญา ลักษณะ ๑ การซื้อขาย ส่วนการเช่าซื้อใช้ประมวลกฏหมายแพ่งและพาณิชย์ ว่าด้วย เอกเทศสัญญา ลักษณะ ๕ การเช่าซื้อ เป็นเกณฑ์บังคับในการปฏิบัติ นอกจากนี้ที่สำคัญ ในทางกฏหมาย การขายผ่อนชำระ กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินจะโอนไปให้ผู้ซื้อทันทีที่มีการตกลงซื้อขาย ส่วน การเช่าซื้อ นั้นกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินยังเป็นของผู้ให้เช่าอยู่
ในทางการบัญชี อนุโลมให้ผู้ขายใช้หลักการบัญชีเดียวกัน สำหรับการขายผ่อนชำระและการเช่าซื้อ ทั้งนี้เนื่องจาก นักบัญชี พิจารณาจากเจตนา กล่าวคือ ผู้ซื้อหรือผู้เช่าซื้อได้ครอบครองและใช้ประโยชน์ทรัพย์สินนั้นแล้วนับแต่วันที่ตกลงซื้อขายกัน กระบวนการก่อให้เกิดรายได้สำเร็จแล้ว สามารถรับรู้ กำไรขั้นต้น ในงวดที่มีการขาย แต่เนื่องจากการขายผ่อนชำระหรือการให้เช่าซื้อมีระยะเวลาการผ่อนชำระยาวนาน เกินกว่าหนึ่งรอบระยะเวลาบัญชี การรับรู้กำไรขั้นต้น จึงอาจรับรู้โดยวิธีที่ถือว่า กำไรขั้นต้นเกิดขึ้นตามส่วนของเงินสดที่ได้รับชำระ
การเช่าซื้อ หมายถึง การที่เจ้าของเอาทรัพย์สินออกให้เช่าและให้คำมั่นว่าจะขายทรัพย์สินนั้น หรือว่าจะให้ทรัพย์สินนั้นตกเป็นสิทธิแก่ผู้เช่า โดยมีเงื่อนไขที่ผู้เช่าได้ใช้เงินเป็นจำนวนเท่านั้นเท่านี้คราว และที่สำคัญ การเช่าซื้อต้องทำสัญญาและสัญญาเช่าซื้อถ้าไม่ทำเป็นหนังสือ ถือว่าเป็นโมฆะ
ในทางกฏหมาย แล้ว การขายผ่อนชำระใช้ประมวลกฏหมายแพ่งและพาณิชย์ ว่าด้วย เอกเทศสัญญา ลักษณะ ๑ การซื้อขาย ส่วนการเช่าซื้อใช้ประมวลกฏหมายแพ่งและพาณิชย์ ว่าด้วย เอกเทศสัญญา ลักษณะ ๕ การเช่าซื้อ เป็นเกณฑ์บังคับในการปฏิบัติ นอกจากนี้ที่สำคัญ ในทางกฏหมาย การขายผ่อนชำระ กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินจะโอนไปให้ผู้ซื้อทันทีที่มีการตกลงซื้อขาย ส่วน การเช่าซื้อ นั้นกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินยังเป็นของผู้ให้เช่าอยู่
ในทางการบัญชี อนุโลมให้ผู้ขายใช้หลักการบัญชีเดียวกัน สำหรับการขายผ่อนชำระและการเช่าซื้อ ทั้งนี้เนื่องจาก นักบัญชี พิจารณาจากเจตนา กล่าวคือ ผู้ซื้อหรือผู้เช่าซื้อได้ครอบครองและใช้ประโยชน์ทรัพย์สินนั้นแล้วนับแต่วันที่ตกลงซื้อขายกัน กระบวนการก่อให้เกิดรายได้สำเร็จแล้ว สามารถรับรู้ กำไรขั้นต้น ในงวดที่มีการขาย แต่เนื่องจากการขายผ่อนชำระหรือการให้เช่าซื้อมีระยะเวลาการผ่อนชำระยาวนาน เกินกว่าหนึ่งรอบระยะเวลาบัญชี การรับรู้กำไรขั้นต้น จึงอาจรับรู้โดยวิธีที่ถือว่า กำไรขั้นต้นเกิดขึ้นตามส่วนของเงินสดที่ได้รับชำระ
วันศุกร์ที่ ๑๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๓
วันพุธที่ ๑๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๓
การบัญชีห้างหุ้นส่วน
ห้างหุ้นส่วน (Partnerships) คือ องค์การธุรกิจที่มีบุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป รับผิดชอบเรื่องกันในการดำเนินการ และจะแบ่งกำไรตามสัดส่วนที่ตกลงกัน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของไทยมี 2 ชนิด คือ ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล ตัวย่อ (หสน.) ห้างหุ้นส่วนจำกัด (หจก.)
ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล เป็นห้างหุ้นส่วนที่มีบุคคล 2 คนขึ้นไปมาลงทุนและเป็นเจ้าของกิจการร่วมกัน ผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคนเป็น"หุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิด" หมายถึง ถ้าห้างหุ้นส่วนมีหนี้ที่เกิดขึ้นจากการประกอบกิจการ ทุกคนที่เป็นหุ้นส่วน ต้องรับผิดชอบหนี้ทั้งหมด โดยไม่จำกัดจำนวนและหุ้นส่วนแต่ละคนมีอำนาจในการจัดการกิจการของห้างหุ้นส่วน
ห้างหุ้นส่วนจำกัด เป็นห้างหุ้นส่วนซึ่งประกอบด้วยหุ้นส่วนอยู่ 2 ประเภท คือ หุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิด หมายถึงถ้าห้างหุ้นส่วนมีหนี้สินที่เกิดขึ้นจากการประกอบกิจการ ต้องรับผิดในหนี้สินทั้งหมดก่อนและมีสิทธิเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการและหุ้นส่วนอีกประเภทคือหุ้นส่วนจำกัดความรับผิด รับผิดจำนวนหนี้ที่เกิดขึ้นไม่เกินจำนวนเงินที่ตนได้ลงทุนและไม่มีสิทธิ์เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ แต่มีสิทธิที่จะสอบถามการดำเนินกิจการของห้าง
ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล เป็นห้างหุ้นส่วนที่มีบุคคล 2 คนขึ้นไปมาลงทุนและเป็นเจ้าของกิจการร่วมกัน ผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคนเป็น"หุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิด" หมายถึง ถ้าห้างหุ้นส่วนมีหนี้ที่เกิดขึ้นจากการประกอบกิจการ ทุกคนที่เป็นหุ้นส่วน ต้องรับผิดชอบหนี้ทั้งหมด โดยไม่จำกัดจำนวนและหุ้นส่วนแต่ละคนมีอำนาจในการจัดการกิจการของห้างหุ้นส่วน
ห้างหุ้นส่วนจำกัด เป็นห้างหุ้นส่วนซึ่งประกอบด้วยหุ้นส่วนอยู่ 2 ประเภท คือ หุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิด หมายถึงถ้าห้างหุ้นส่วนมีหนี้สินที่เกิดขึ้นจากการประกอบกิจการ ต้องรับผิดในหนี้สินทั้งหมดก่อนและมีสิทธิเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการและหุ้นส่วนอีกประเภทคือหุ้นส่วนจำกัดความรับผิด รับผิดจำนวนหนี้ที่เกิดขึ้นไม่เกินจำนวนเงินที่ตนได้ลงทุนและไม่มีสิทธิ์เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ แต่มีสิทธิที่จะสอบถามการดำเนินกิจการของห้าง
วันจันทร์ที่ ๑๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๒
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
3 แม่ลูกผูกพันธ์

มะม๊า & ปะป๊า
